หลักการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์
มีหลายประการดังนี้
1. ชื่อวิทยาศาสตร์ ต้องเป็นภาษาลาตินเสมอ
2. ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกต้องจะมีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
3. ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตจะต้องไม่ขึ้นแก่กัน ยกเว้นบางกรณีสัตว์ชนิดเดียวกันอาศัยอยู่ในทวีปหรือประเทศที่ห่างไกลกัน แต่กลับมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย จนไม่สามารถแยกเป็นชนิดใหม่ได้ การตั้งชื่อสัตว์นั้นสามารถนำชื่อ “สกุล” “ชนิด” และ “ชนิดย่อย” ซึ่งเป็นระบบไบโนเมียล กลับเป็นระบบ ไตรโนเมียล (Trinomial)
4. การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์คำแรกซึ่งเป็นชื่อสกุล
ต้องเริ่มด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ ส่วน คำหลังซึ่งเป็นชื่อสเปซิฟิก เอพิเทต
เขียนด้วยอักษรตัวเล็ก โดยอาจจะเขียนเป็นอักษรตัวเอนหรือขีดเส้นใต้ก็ได้
5. การใช้คำลงท้ายสำหรับวงศ์ต้องลงท้ายด้วย –idea (อ่านว่า อิดี) ในสัตว์
เช่น คนอยู่ในวงศ์ Hominidae ลิงกอริลลาอยู่ในวงศ์ Simiidae ส่วนพืชวงศ์จะลงท้ายด้วย –aceae (อ่านว่า เอซี) ซึ่งคำลงท้ายของชื่อตั้งแต่วงศ์ลงมาจะมีกฎเกณฑ์แน่นอน และยุ่งยากต่อการจำ
6. การตั้งชื่อชนิดมักใช้คำคุณศัพท์บ่งถึงลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ หรือชื่อบุคคล
สถานที่ที่พบ เช่น ปลาตะเพียน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Puntius
masyaiผู้ตั้งชื่อคือ H.M.Smith ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงมัศยจิตรการ
ปลาเกดหรือปลาสายยู มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Platytropius siamensisผู้ตั้งชื่อคือ Sauvage ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย
ปรากฏว่า ในการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์
ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายชาติหลายภาษาต่างก็ตั้งชื่อ
สิ่งมีชีวิตที่ตัวเองได้พบเห็น จึงทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลายชื่อ
ด้วยเหตุนี้เองการตั้งชื่อ วิทยาศาสตร์จึงต้องมีชื่อย่อของผู้ตั้งกำกับไว้หลังชื่อนั้นๆ ด้วย เช่น ต้นหางนกยูงไทย มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Poinciana pulcherrima
Linn. คำว่า Linn. เป็นชื่อย่อของลินเนียส ต่อมาพบว่า ต้นหางนกยูงไทยมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า Caeslpinia pulcherrima Swartz แต่ในที่สุดก็ให้เอาชื่อที่ตั้งขึ้นก่อนโดยลินเนียสเป็นชื่อที่ถูกต้อง ส่วนอีกชื่อนั้นถือว่าเป็นชื่อพ้องกันต้องเลิกใช้ไป
2. ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกต้องจะมีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
3. ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตจะต้องไม่ขึ้นแก่กัน ยกเว้นบางกรณีสัตว์ชนิดเดียวกันอาศัยอยู่ในทวีปหรือประเทศที่ห่างไกลกัน แต่กลับมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย จนไม่สามารถแยกเป็นชนิดใหม่ได้ การตั้งชื่อสัตว์นั้นสามารถนำชื่อ “สกุล” “ชนิด” และ “ชนิดย่อย” ซึ่งเป็นระบบไบโนเมียล กลับเป็นระบบ ไตรโนเมียล (Trinomial)
4. การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์คำแรกซึ่งเป็นชื่อสกุล
ต้องเริ่มด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ ส่วน คำหลังซึ่งเป็นชื่อสเปซิฟิก เอพิเทต
เขียนด้วยอักษรตัวเล็ก โดยอาจจะเขียนเป็นอักษรตัวเอนหรือขีดเส้นใต้ก็ได้
5. การใช้คำลงท้ายสำหรับวงศ์ต้องลงท้ายด้วย –idea (อ่านว่า อิดี) ในสัตว์
เช่น คนอยู่ในวงศ์ Hominidae ลิงกอริลลาอยู่ในวงศ์ Simiidae ส่วนพืชวงศ์จะลงท้ายด้วย –aceae (อ่านว่า เอซี) ซึ่งคำลงท้ายของชื่อตั้งแต่วงศ์ลงมาจะมีกฎเกณฑ์แน่นอน และยุ่งยากต่อการจำ
6. การตั้งชื่อชนิดมักใช้คำคุณศัพท์บ่งถึงลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ หรือชื่อบุคคล
สถานที่ที่พบ เช่น ปลาตะเพียน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Puntius
masyaiผู้ตั้งชื่อคือ H.M.Smith ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงมัศยจิตรการ
ปลาเกดหรือปลาสายยู มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Platytropius siamensisผู้ตั้งชื่อคือ Sauvage ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย
ปรากฏว่า ในการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์
ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายชาติหลายภาษาต่างก็ตั้งชื่อ
สิ่งมีชีวิตที่ตัวเองได้พบเห็น จึงทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลายชื่อ
ด้วยเหตุนี้เองการตั้งชื่อ วิทยาศาสตร์จึงต้องมีชื่อย่อของผู้ตั้งกำกับไว้หลังชื่อนั้นๆ ด้วย เช่น ต้นหางนกยูงไทย มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Poinciana pulcherrima
Linn. คำว่า Linn. เป็นชื่อย่อของลินเนียส ต่อมาพบว่า ต้นหางนกยูงไทยมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า Caeslpinia pulcherrima Swartz แต่ในที่สุดก็ให้เอาชื่อที่ตั้งขึ้นก่อนโดยลินเนียสเป็นชื่อที่ถูกต้อง ส่วนอีกชื่อนั้นถือว่าเป็นชื่อพ้องกันต้องเลิกใช้ไป